|
รัก ตัวเองให้เป็น เห็นตัวเองให้ชัด |
 |
|
|
|
วันที่ 20 เม.ย. 2553 โดย นพ.สุกมล วิภาวีพลกุล |
|
|
|
|
|
|
|
|
นพ.สุกมล วิภาวีพลกุล
ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
หากคุณกำลังปรารถนา " ใครสักคนหนึ่ง " ที่หวังให้เขาเป็นคน
รู้ใจเรา เข้าใจเรา
เห็นคุณค่าของเรา ปลอบใจยามเศร้า เป็นเพื่อนยามเหงา กล่าวคำชื่นชมเสมอ
ทำให้เรารู้สึกหัวใจพองโต ด้วยความรู้สึกฟูฟ่องอิ่มเอิบ
ครั้นเมื่อยังไม่มีแฟนเหมือนเพื่อนๆ ในกลุ่ม
ให้รู้สึกน้อยหน้า เป็นปมด้อย
ไม่มีอะไรไปคุยโม้โอ้อวด แถมถ้าเจอเพื่อนๆ
จงใจหิ้วแฟนหล่อระเบิดหรือสวยเลอเลิศ
สมิหรามาอวด
กะจะขยำย่ำยีบดขยี้หัวใจเพื่อนฝูงให้ชอกช้ำน้ำลายสอ
ผลการกระทำดังกล่าว
ทำให้คุณรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่าราคาตก แทบแทรกแผ่นดินหนี
ถ้าคุณมีอาการดังกล่าว
แสดงว่าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังอยู่ในภาวะขาดความนับถือตนเอง
หรือ Low self-esteem
พูดภาษาชาวบ้านง่ายๆ ว่า " รักตัวเองไม่เป็น "
ความนับถือตนเอง (Self-esteem)
หมายถึงการที่คุณรู้สึกว่าตนเอง
มีคุณค่าเท่าเทียมกับคนอื่น ตระหนักในศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิแห่งตน
สามารถมีชีวิตอยู่
โดยไม่ต้องได้รับการโอบอุ้มหรือพึ่งพิงคนอื่น
คนที่มีความนับถือตนเองจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข
แม้ในเวลาอยู่คนเดียว
เขาก็ไม่เคยรู้สึกเงียบเหงา หงอย เปล่าเปลี่ยว โดดเดี่ยว เดียวดาย อ้างว้าง
ว้าเหว่ วังเวงใจ
ไร้ที่พึ่ง
เขาจะไม่เคยพูดว่า " ถ้าฉันขาดเขาไป ฉันคงอยู่ไม่ได้
"
และไม่ค่อยมีเวลาเหลือพอ
สำหรับการเซ็งชีวิต
คนที่ขาดความนับถือตนเอง จะมีความสุขได้ยาก
เนื่องจากความถนัดส่วนตัว
ในการมองตนเองในทางลบ ไม่ตระหนักในความสามารถของตนเอง ทำอะไรก็คงไม่ได้ดี
คิดว่าคนอื่นคอยดูถูก
ลึกๆแล้วเขาดูถูกตัวเอง
แม้ตัวเองที่เราคุ้นเคยดีที่สุด
ก็ยังไม่สามารถเห็นความดีที่มีอยู่ ก็ย่อมเป็นการยาก
ที่จะมองเห็นความดีในผู้อื่นได้
คนที่ขาดความนับถือตนเองจึงมักเป็นคนที่มองคนอื่นในแง่ลบ
ชอบหาเรื่องคนอื่น ระแวง คิดว่าคนอื่นนินทาว่าร้ายไม่หวังดีกับตัวเรา
มีผลถึงการสื่อสาร
- ชอบกัด จิก แขวะคนอื่น จึงมักมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้ง
เวลาที่เห็นคนอื่นได้ดี ก็ชื่นชมไม่เป็น
เป็นแต่อิจฉาริษยา
คนขี้อิจฉาริษยา ชอบนินทาว่าร้ายผู้อื่น
แท้ที่จริงก็เป็นผลพวงมาจาก
การรักตัวเองไม่เป็น
ใจมนุษย์รับได้ยากที่รู้สึกว่าตัวเองตกต่ำ
หากทำให้ตัวเราสูงส่งไม่ได้ ก็ใช้วิธีกดคนอื่นให้ต่ำลง
ทำให้เรารู้สึกเหนือกว่า
การคอยจับผิด ตำหนิ นินทา เสียดสี
ใส่ร้ายป้ายสี ข่มขู่ เป็นวิธีการพูดกด
ให้คนอื่นต่ำลงทั้งสิ้น
หลายคนที่ไม่เคยได้รับรู้ความรักจากพ่อแม่ในวัยเด็กทำให้รักตัวเองไม่เป็น
การสื่อสารจากพ่อแม่เป็นไปทางลบตลอด " แกมันแย่ ขี้เกียจสันหลังยาว
ใช้ไม่ได้ "
" มันจะโง่อะไรขนาดนี้ เลขง่ายๆ แค่นี้ก็ยังตอบผิด อีกหน่อยมันจะทำอะไรกิน "
เด็กเติบโตขึ้นมาโดยไม่เคยรู้ว่ามีอะไรดีๆ ในตัวเอง
นำไปสู่การขาดความนับถือตนเอง
แต่หลายครั้งที่ความรักของพ่อแม่ก็เป็นสาเหตุสำคัญ
เพราะพ่อแม่รักมาก
เลยทำให้เด็กหมดทุกอย่าง จัดแจงทุกอย่างให้โดยเด็กไม่มีส่วนร่วมในการ
ตัดสินใจ
เสื้อผ้าก็มีคนจัดแจงให้ จะเข้าโรงเรียนใหม่พ่อแม่ก็เลือกให้
เด็กในโรงเรียนดังๆ
ส่วนใหญ่เข้าได้ด้วยความสามารถของพ่อแม่ เด็กๆ
จึงไม่รู้ว่าตัวเองมีความสามารถอะไร
ชีวิตไม่คุ้นเคยกับความรู้สึก " ภาคภูมิใจ "
ผลสุดท้ายก็นับถือตัวเองไม่เป็นเหมือนกัน
พ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยความรักอย่างเดียวไม่พอ ต้องสื่อ
สารทางบวก
ด้วย
การสื่อสารทางบวกไม่ได้มีเฉพาะการชื่นชมว่าลูกเก่ง ลูกน่ารัก ฯลฯ
เท่านั้น
แต่การพูดถึงความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อลูกปฏิบัติดีหรือทำงานสำเร็จ
และการเปิดโอกาส
ให้ลูกได้ตัดสินใจในสิ่งที่เป็นกิจวัตรหรือวิถีชีวิตของเขา
เด็กจะเติบ
โตด้วยความภาคภูมิ
เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจ
การขาดความนับถือตนเอง - ไม่ใช่เพราะ " ไม่มีคุณค่า "
แต่เป็นเพราะ "
ขาดความรู้สึก ว่าตัวเองมีคุณค่า "
ความนับถือตนเองสามารถพัฒนาได้ถ้าคิดเป็น (หรือสัมมาทิฐิ)
ความรู้สึกดังกล่าว
จะค่อยๆ บังเกิด หากคุณพิจารณาตนเองหรือให้เพื่อนสนิทวิจารณ์อย่างจริงใจ
ทั้งส่วนที่เป็นบวก
และสิ่งที่เป็นลบ เป็นขั้นตอนแรกของรู้จักตัวเองอย่างถ้วนทั่ว
คนทุกคนมีทั้งส่วนดี
และส่วนเสียทั้งสิ้น
ไม่มีใครดีเลิศเลอหรือเลวสุดๆ
ตัวคุณเองก็มีทั้งข้อเด่นและข้อด้อย
การมองเห็นตัวเองว่ามีแต่ข้อด้อย ทำให้รู้สึกแย่ ไร้ค่า
ไม่สมควรมีชีวิตอยู่ กลายเป็นคนเกลียดตัวเอง
ทางออกของวัยรุ่นหลายคนคือต้องรีบหาแฟน
ตั้งแต่วัยเด็กหรือยอมมีเซ็กส์อย่างง่ายดาย
การได้รู้สึกว่ามีคนมารักเป็น
การชดเชย
และเติมเต็มส่วนขาดในใจเรา
ผู้หญิงที่กำลังตกทุกข์ได้ยากในเรื่องรัก
มักกลายเป็นเหยื่อของผู้ชายที่กำลังอดอยาก
ปากแห้งในเรื่องเซ็กส์
การตระหนักในข้อเด่นที่ตัวเรามี เช่น หน้าตาดี บุคลิกภาพดี
มีความคิดดี มนุษยสัมพันธ์ดี
จิตใจดีงาม สุขภาพดี มีความสามารถพิเศษ ฯลฯ
คนเรามันต้องมีอะไรดีสักอย่างหรือหลายอย่าง
ลองหาดูจริงๆ สักทีเถอะ
การมีจุดมุ่งหมายในชีวิตที่เห็นภาพอย่างชัดเจน
แทนที่จะมัวแต่นอนฝันกลางวัน
ไปเรื่อยเปื่อย จงกระตือรือร้นลงมือแปลงความฝันเป็นความจริง
ตัดสินใจเลือกเดิน
ในหนทางที่เราเลือกด้วยตัวเราเอง
ทั้งหมดนี้คือองค์ประกอบของความนับถือตนเอง
โดยมีข้อเด่นหรือศักยภาพในตัวเราเป็นแรงผลักดันไปสู่ความสำเร็จ
ตั้งใจเรียนและทำงาน หากเจอคนที่ถูกใจจึงค่อยๆ
พัฒนาความสัมพันธ์จากคนรู้จัก
กลายเป็นคนรู้ใจ นำไปสู่การรวมใจและใช้ชีวิตร่วมกันในที่สุด
แต่ถ้าไม่เจอใครเลยสักคน
หลายคนมัวแต่เสียใจว่าฉันไม่มีคุณค่าพอที่จะมีคนมารัก
และขอแต่งงาน โปรดอย่าใช้วิธีคิดแบบมรว.กีรติ
ขอจงคิดใหม่ว่า
เพราะยังไม่มีผู้ชายดีพอ
ที่ฉันจะเลือกมาเป็นคู่
และฉันยังมีความสุขแม้ต้องอยู่ด้วยตัวคนเดียว
เขียนลงกระดาษ
แปะที่กระจกโต๊ะเครื่องแป้งประจำตัวไว้อ่านทุกตอนเช้า
" ถึงแม้ปราศจากคนที่รักฉัน แต่ฉันก็ยังอิ่มใจที่ฉันรักตัว
เองเป็น "
(update 26 กันยายน 2001)
[ ที่มา...บทความเพศศึกษา คอลัมน์ " ติวรักให้เต็มร้อย "
นิตยสารกุลสตรี ฉบับต้นเดือนมิถุนายน 2544 ] |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
[ ที่มา...http://www.elib-online.com/doctors3/mental_love61.html ]
|
|
|
URL
Link :
http://www.elib-online.com/doctors3/mental_love61.html |
|
|
|
|
|
 |
|
|
|
|
|
|
|