คุณแม่ท้อง ทั้งที่รู้ตัวว่ากรนแต่ต้องจำนนต่อหลักฐานจากคุณสามี ต่อจากนี้คงจะเลิกกังวลได้แล้วนะคะ เพราะเรามีกลยุทธ์...แก้กรนมาฝาก
เสียงกรนมาจากไหน
การหายใจเพื่อเอาออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย ก่อนจะเข้าถึงปอดจะต้องผ่านจมูก ลำคอ กล่องเสียง ถ้าระบบการหายใจเป็นปกติจะไม่มีเสียงใดๆ เกิดขึ้น แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ระบบหายใจถูกอุดกั้นจะส่งผลให้ออกซิเจนเข้าสู่ปอดได้น้อยลง ร่างกายจึงตอบสนองด้วยการอ้าปากเพื่อให้ได้ออกซิเจนที่เพียงพอ และเมื่อลมหายใจจากปากและจมูกมาเจอกัน จะเกิดเป็นลมหมุน ส่งผลให้ผนังลำคอลิ้นไก่และเพดานก่อนสั่น จนเกิดเป็นเสียงกรนขึ้นมาค่ะ
ทำไมท้องแล้วนอนกรน
สำหรับคุณแม่ที่ท้องได้ไม่เท่าไหร่ก็เริ่มกรนทั้งที่ไม่เคยกรนมาก่อน หรือเคยกรนเล็กน้อยพอท้องกลับกรนเสียงดัง...ทำไมท้องแล้วนอนกรน? เป็นคำถาม ซึ่งมีคำเฉลยดังนี้ค่ะ
1. น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เพราะเมื่อน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เนื้อเยื่อที่บริเวณช่องคอส่วนบนจะขยายออกมาจนปิดทับที่ช่องทางเดินหายใจ ส่งผลให้ลมหายใจผ่านเข้าสู่ปอดได้น้อย
2. ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณช่องปากส่วนบนและหลอดลมบวมได้เช่นกัน ทำให้เกิดการอุดกั้นที่ระบบทางเดินหายใจมากขึ้น
3. ภูมิแพ้ สำหรับแม่ท้องที่เป็นภูมิแพ้อยู่แล้ว ถ้าอาการกำเริบก็มีส่วนทำให้กรนได้ค่ะ เพราะภูมิแพ้ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณช่องปากส่วนบนและหลอดลมบวมได้เช่นกัน ทำให้เกิดการอุดกั้นที่ระบบทางเดินหายใจมากขึ้น
4. ต่อมทอลซิลหรือต่อมอะดินอยด์อักเสบเรื้อรัง ทำให้ต่อมทั้ง 2 โต และเพดานเกิดอ่อนตัวลงมาอุดกั้นที่ช่องทางเดินหายใจ เป็นสาเหตุของการกรนได้เช่นกัน
กรนแบบไหน อันตราย
การกรนจะแบ่งได้เป็น 2 ระดับ คือ
ระดับที่ 1 นอนกรนอย่างเดียว ไม่ส่งผลกระทบกับสุขภาพแต่อย่างใด แต่เสียงกรนอาจสร้างความรำคาญให้กับคนข้างกายจะรักษาหรือไม่ก็ได้ ถ้าจะรักษาก็เพียงเพื่อลดให้น้อยลง แต่ถ้าไม่รักษาต้องระวังเพราะอาจพัฒนาไปสู่ระดับที่ 2 ได้
ระดับที่ 2 นอนกรนแบบมีการหยุดหายใจร่วมด้วย (Sleep Apnea) การกรนแบบนี้จะส่งผลกับสุขภาพตามมาด้วยค่ะ
สังเกต...การหยุดหายใจ
ลักษณะของการหยุดหายใจ คือ ขณะที่หลับมีเสียงกรนอยู่เสียงกรนนั้นจะนิ่งเงียบไปชั่วขณะ มีการสะดุ้งเฮือกหรือสำลักน้ำลายซึ่งเป็นกลไกร่างกายที่ป้องกันตัวเองไม่ให้ขากออกซิเจนด้วยการปลุกให้ตื่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวและหลับต่อ การหยุดหายใจจะเกิดขึ้นเป็นช่วงๆ ละประมาณ 10 วินาที อย่างน้อยติดต่อกัน 5 ครั้งต่อชั่วโมง บางคนอาจหยุดหายใจ 30-300 ครั้งต่อคืน
ซึ่งการจะรู้ว่าตัวเองหยุดหายใจขณะหลับหรือไม่ จะต้องอาศัยคนข้างกายให้ช่วยสังเกต แต่ถ้าหากไม่แน่ใจว่ามีการหยุดหายใจด้วยหรือเปล่า สามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหู คอ จมูก ตามโรงพยาบาลใหญ่ๆ ทั้งของรัฐและเกชนได้นะคะ เพราะจะมีเครื่องมือที่ใช้ในการตรวจโดยเฉพาะ โดยคุณแม่จะต้องนอนพักที่โรงพยาบาล 1 คืน
นอนกรน ส่งผลข้างเคียง
จากการศึกษาในประเทศสวีเดนและอังกฤษในช่วงที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่าแม่ท้องนอนกรนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
· โดยเมื่อปี 2539 พบว่าผู้หญิงทั่วไปที่ยังไม่ท้องจะนอนกรนเพียง 4% เท่านั้น แต่พอท้องกลับนอนกรนเพิ่มขึ้นเป็น 14%
· การศึกษาเมื่อปี 2543 พบว่าแม่ท้องนอนกรนถึง 23%
· และปี 2548 พบว่าการตั้งครรภ์กลายเป็นปัจจัยทำให้ผู้หญิงนอนกรนเพิ่มขึ้น จาการศึกษานี้ได้เปรียบเทียบแม่ท้องที่นอนกรนและไม่นอนกรน ถึงผลข้างเคียงที่ตามมาดังนี้
แม่ท้องที่นอนกรน
· มีภาวะความดันโลหิตสูงถึง 14%
· มีภาวะครรภ์เป็นพิษ 10%
· ทารกแรกเกิดมีน้ำหนักตัวน้อย 7.1%
แม่ท้องที่นอนปกติ ไม่กรน
- มีภาวะความดันโลหิตสูงเพียง 6%
- มีภาวะครรภ์เป็นพิษ 4%
- ทารกแรกเกิดมีน้ำหนักตัวน้อย 2.6%
อาการอื่นๆ ที่พบคือ เกิดภาวะเส้นเลือดในหัวใจอุดตัน หรืออาจมีภาวะเส้นเลือดในสมองอุดตันได้ (ถ้าเป็นแล้วทิ้งไว้นาน)
การรักษา
จำเป็นต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหู คอ จมูก เป็นผู้ประเมินในการรักษา ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงด้วยค่ะ เช่น
1. ถ้าแม่ท้องนอนกรนมาก การใส่หน้ากากออกซิเจนเพื่อช่วยหายใจก็ช่วยได้ค่ะ
2. หากเป็นการกรนที่เกิดจากโรคภูมิแพ้ ต่อมอะดินอยด์หรือต่อมทอลซิลอักเสบ จะต้องรักษาโรคเหล่านี้ให้หายก่อน
3. ถ้านอนกรนมากและมีการหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วยต้องได้รับการผ่าตัดบริเวณเพดานอ่อน ซึ่งแพทย์จะผ่าตัดให้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับความรุนแรง ถ้าไม่รุนแรงมากอาจรอหลังคลอด เพราะการผ่าตัดระหว่างอาจทำให้ตกเลือดได้ แต่ถ้าอาการมีความรุนแรงจนรอไม่ได้ก็ต้องผ่าตัดเลย
4. หลังคลอดอาการกรนจะดีขึ้นเพราะฮอร์โมนและน้ำหนักตัวลดลง แต่บางคนอาจยังกรนอยู่ถ้าน้ำหนักมาก ส่วนอื่นๆ ที่เป็นสาเหตุของการกรนถ้ายังไม่หายก็ทำให้กรนต่อไปได้ค่ะ
กลยุทธ์...แก้กรน
สำหรับแม่ท้องท่านใดที่รู้ตัวว่านอนกรน กลยุทธ์ที่นำมาฝากเหล่านี้จะช่วยให้อาการลดลงค่ะ
1. ที่นอนต้องแข็งพอประมาณ
2. หนุนหมอนให้สูงขึ้นประมาณ 4 นิ้วขึ้น
3. การนอนตะแคงซ้ายจะช่วยให้กรนน้อยลง เพราะเวลานอนเส้นเลือดไม่ถูกกดทับทำให้เส้นเลือดไหลเวียนได้ดี
4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
5. พยายามให้น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ ไม่ขึ้นมากเกินไป
6. หลีกเลี่ยงการใช้ยานอนหลับ เพราะจะทำให้หลับลึกมากเมื่อนอนหลับลึกกล้ามเนื้อก็จะคลายตัวและไปอุดกั้นระบบทางเดินหายใจ ทำให้เกิดการกรน
7. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มสุรา
8. ควรทานอาหารก่อนนอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง และควรจะหลีกเลี่ยงอาหารหนักๆ
ทราบข้อมูลกันแล้ว แต่หากไม่แน่ใจว่าคุณนอนกรนและมีการหยุดหายใจร่วมด้วยหรือไม่ ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางนะคะ