การเตรียมตัวที่ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
เป็นคำกล่าวของนักปราชญ์โบราณที่กล่าวไว้อย่างน่าฟัง โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่เราไม่สามารถเรียนรู้จากความผิดพลาดได้
ประโยคข้างต้นสามารถที่จะนำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างดีกับการมีชีวิตคู่ ถ้ามีการเตรียมตัวที่ดีแล้ว การครองชีวิตคู่ย่อมราบรื่น มีความสุข และอยู่ร่วมกันยืนนานขึ้น
บางท่านคงจะนึกแย้งเหมือนกันว่า ทำไมต้องเตรียมตัวมีคู่ ในเมื่อเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องของธรรมชาติแห่งความรักใคร่ แล้วแต่ว่าใครจะมีวาสนาผูกพันกับใครมา เป็นเรื่องของคน 2 คนที่หัวใจตรงกัน และตั้งใจว่าจะอยู่เป็นคู่ครองกัน
ที่จริงแล้วการที่คน 2 คนจะรักกันผูกพันกันเพื่อที่จะเป็นคู่ชีวิตนั้น เมื่อเกิดความรักขึ้นแล้ว โลกของเขาและเธอทั้ง 2 คนก็เริ่มเป็นสีชมพู เป็นโลกของเรา 2 คนเท่านั้น ไม่มีคนอื่นคนไกล มองอะไรก็ไม่เห็น มองไม่เห็นใคร บางคนจึงนิยามอาการแบบนี้ว่า ความรักทำให้คนตาบอด ช่วงเวลานี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะมานั่งหาเหตุผลว่าทำไมต้องมารักกัน...และรักกันไปทำไม ก็รักกันซะอย่างใครจะมายุ่งเกี่ยวจริงไหม!
แต่ถ้าคิดจะรักกันเพื่อที่จะเป็นคู่ชีวิตแล้ว...ต้องมีการเตรียมตัวก่อนใช้ชีวิตคู่
ความรักที่จบลงด้วยการใช้ชีวิตคู่นั้นไม่ใช่บทจบของนวนิยาย ดังที่ได้รับชมตามโทรทัศน์ แต่บทเริ่มต้นของนวนิยายเรื่องยาวอีกเรื่องหนึ่ง ที่ยังไม่ทราบตอนจบของเรื่องว่าจะเป็นอย่างไร และนวนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่คน 2 คนที่จะมาใช้ชีวิตคู่ต้องร่วมกันเป็นผู้เขียนเพื่อที่จะประคับประคองชีวิตคู่ให้ปึงจุดหมายปลายทางที่ผู้เฒ่าผู้แก่ได้อวยพรไว้ในวันสมรสว่า ขอให้ถือไม่เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร ดังนั้น จึงมีคำถามต่างๆ ตามมามากมายถึงการใช้ชีวิตคู่
ชีวิตคู่จะมีความสุขได้จริงหรือ? เป็นคำถามที่อยู่ในใจของคนที่จะก้าวเข้าสู่การมีชีวิตคู่เสมอ เพราะช่วงชีวิตแห่งการมีความรักเปรียบดังความฝัน แต่ช่วงชีวิตแห่งการแต่งงานเปรียบดังความจริง ดังนั้น คำถามที่ว่าชีวิตคู่จะมีความสุขจริงหรือ จึงเป็นคำถามที่คู่รักทั้ง 2 คนต้องหาคำตอบเอง เนื่องความสำคัญของการใช้ชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับการทำอย่างไรให้ชีวิตคู่ยืนยาวและมีความสุข
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้ทรงนิพนธ์หนังสือชื่อ ความสุขหาได้ไม่ยาก ตอนหนึ่งเกี่ยวกับการใช้ชีวิตว่า
สามีภรรยาที่อยู่กันจนเฒ่าจนแก่นั้น มิใช่ว่าจะไม่แลเห็นการแก่เฒ่า ไม่สวยงามของแต่ละฝ่าย ที่จริงก็ยังเห็นความสวยงามความหนุ่มสาวของกันและกันอยู่ แต่ทั้งๆ ที่เห็นก็เหมือนไม่เห็น เพราะมีสิ่งอื่นที่เด่นชัดกว่าสำคัญกว่า นั่นคือการไม่เห็นความดีของกันและกัน
ชีวิตคู่หรือการครองชีวิตร่วมกันนั้น จึงเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่างหนึ่ง ซึ่งซื่อสัตย์และสวยงามอย่างยิ่งของมนุษยชาติมาตั้งแต่ยุคโบราณกาลขอแต่เพียงให้ผู้ที่คิดจะใช้ชีวิตคู่นั้นทำความเข้าใจหาเหตุผลและใช้สมองพิจารณาถึงสา และเคล็ดลับของการใช้ชีวิตคู่ของในสังคมปัจจุบันซึงเปลี่ยนแปลงไปทำให้การใช้ชีวิตคู่ยุ่งยากซับซ้อนและมีปัญหามากขึ้นกว่าสมัยก่อน แต่อย่าลืมว่าในปัจจุบันนี้ พวกคนรุ่นหลังได้เปรียบกว่าในแง่ของการได้รับรู้ประสบการณ์ที่ถ่ายทอดจากคนรุ่นก่อน ทั้งยังมีการช่วยเหลือแนะแนวทางต่างๆ ให้เตรียมพร้อมและแก้ไขอุปสรรคของการใช้ชีวิตคู่
หากผู้ที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันนั้นได้ไตร่ตรองให้ดี มีการปรับตัวปรับใจเข้าหากันแล้ว รู้จักศิลปะในการใช้ชีวิตคู่แล้ว ความสุขที่เกิดจากการใช้ชีวิตคู่จะเป็นความสุขที่เงินทองไม่สามารถจะมาทดแทนได้ เพราะเป็นความสุขที่เกิดจากความเข้าใจกัน ไว้ใจกัน และเอื้ออาทรกันอันเป็นความปรารถนาลึกๆ ที่มนุษย์ทุกคนแสวงหา
ศิลปะในการใช้ชีวิตคู่จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเปรียบเสมือนกับน้ำหล่อเลี้ยงให้ชีวิตคู่ชุ่มชื่นมีความสุขถ้าผู้ที่จะเป็นคู่ชีวิตนั้น เข้าใจกัน ไว้ใจกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ปรับตัวเข้าหากัน รวมทั้งเคารพนับถือซึ่งกันและกันแล้ว ถึงแม้บางครั้งชีวิตคู่ที่เสมือนการล่องเรือในทะเลมหาสมุทรย่อมประสบกับคลื่นลมพายุบ้าง แต่ก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ เพราะมีการเตรียมตัวที่ดี...เป็นการเตรียมตัวที่จะมีชีวิตคู่ คู่ชีวิต